มาการีนกับเนยต่างกันอย่างไร?
เมื่อเราไปเดินซื้อวัตถุดิบเพื่อทำอาหารเมื่อถึงจุดที่จำหน่ายเนยและมาการีนเราจะหยิบสิ่งที่เราชอบไปแต่รู้หรือไม่ว่าเนยละมาการีนนั้นแตกต่างกันอย่างไร? จุดประสงค์การใช้เนยละมาการีนโดยส่วนมากจะเหมือนกันแต่ผลิตภัณ์สองชนิดนี้แตกต่างกัน ส่วนหลักๆที่แยกมันทั้งสองออกจากกันคือวิธีการผลิตและชนิดของไขมันที่เนยและมาการีนมีอยู่
มาการีนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ทำจากนมแต่มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนเนย แต่เดิมตั้งแต่ศตวรรษที่18มาการีนถูกผลิตขึ้นมาจากไขมันสัตว์แต่ในปัจุบันส่วนผสมหลักได้เปลี่ยนเป็นน้ำมันพืช,น้ำ,สารอีมัลชั่น,และบางแห่งยังผสมนมเข้าไปด้วย ซึ่งเราสามารถหาซื้อได้ทั้งในรูปแบบแท่งและกล่อง
ปริมาณแคลอรี่
จำนวนปริมาณของแคลอรี่ของเนยและมาการีนนั้นเกือบจะเท่ากันอย่างไรก็ตามการเลือกเนยไขมันต่ำหรือมาการีนไขมันต่ำจะช่วยลดแคลอรี่ได้ถึงครึ่งนึงเลยทีเดียว เนยและมาการีนมีปริมาณแคลอรี่100แคลอรี่ต่อ1ช้อนโต๊ะ ซึ่งถ้าเราเลือกซื้อเนยและมาการีนแบบไขมันต่ำจะลดแคลอรี่ได้เหลือ50แคลอรี่ต่อ1ช้อนโต๊ะ แคลอรี่ที่ได้จากเนยและมาการีนนี้ล้วนแต่มากจากไขมันจึงไม่มีคาร์โบไฮเดรตหรือโปรตีนเลย
ปริมาณไขมัน
ชนิดของไขมันที่พบในเนยและมาการีนเป็นสิ่งที่บ่งบอกความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ทั้งสอง มาการีนจะประกอบด้วยไขมันพืช ในขณะที่เนยนั้นทำมาจากไขมันนม มาการีนหลายๆชนิดอาจจะมีไขมันทรานส์ผสมอยู่ด้วยซึ่งเป็นไขมันที่ถูกเติมสารไฮโดรเจนเข้าไปที่เรียกว่าHydrogenated Fatซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ อย่างไรก็ตามบริษัทผู้ผลิตมาการีนพยายามที่จะลดปริมาณไขมันทรานส์นี้ลงหรืออาจจะกำจัดมันออกไปจากส่วนผสมเลยเพื่อที่จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ดีต่อสุขภาพ นอกจากนั้นในหลายๆประเทศยังมีข้อกำหนดปริมาณไขมันทรานส์เนื่องจากเป็นไขมันที่อันตรายที่สุดในบรรดาไขมันทุกชนิด มาการีนบางชนิดมีไขมันอิ่มตัวที่เป็นไขมันจากพืชเช่นน้ำมันปาล์ม อย่างไรก็ตามทั้งในน้ำมันปาล์มและเนยล้วนมีไตรกลีเซอไรด์ซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัว หากเราบริโภคไขมันอิ่มตัวมากจนเกินไปอาจจะเพิ่มความเสี่ยงเส้นเลือดอุดตันและโรคหัวใจ
ผลิตภัณฑ์ไหนดีกว่า
เนยทำมาจากนมจึงให้วิตามินเอและวิตามินอีสูงในขณะที่มาการีนนั้นมีวิตามินที่ไม่แน่นอนหรืออาจจะไม่มีเลยขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เนยจะมีไขมันอิ่มตัวสูงแต่มาการีนมีไขมันทรานส์ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก อย่างไรก็ตามทั้งเนยและมาการีนมีหลายชนิดมากๆและแต่ละชนิดอาจจะมีวิธีการผลิตรวมถึงคุณค่าทางโภชนาการไม่เหมือนกันทำให้การสรุปให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนดีกว่าจึงค่อนข้างยาก ดังนั้นควรรตวจสอบฉลากสินค้าเพื่อดูข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
ที่มา: Fitday
เรียบเรียง: SignorScience